วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Web 2.0


         คำว่า “Web 2.0” เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หลังจากงานประชุม O'Reilly Media Web 2.0 ที่จัดขึ้นในปี 2547 คำว่า “Web 2.0” นั้นเป็นคำกล่าวเรียกลักษณะของเวิลด์ไวด์เว็บในปัจจุบัน ตามลักษณะของผู้ใช้งาน โปรแกรมเมอร์และผู้ให้บริการ ซึ่งตัว Web 2.0 เองนั้นไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาทางด้านเทคนิคแต่อย่างใด ทิม เบอร์เนิร์สลี ผู้คิดค้นเวิลด์ไวด์เว็บ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะทางเทคนิคของ Web 2.0 นั้นเกิดขึ้นมานานกว่าคำว่า “Web 2.0” จะถูกนำมาเรียกใช้

          Web 2.0 นั้นมีคำจำกัดความหลายอย่าง Tim O'Reilly ได้กล่าวไว้ว่า Web 2.0 เปรียบเหมือนธุรกิจ ซึ่งเว็บกลายเป็นแพลตฟอร์มหนึ่ง ที่อยู่เหนือการใช้งานของซอฟต์แวร์ โดยไม่ยึดติดกับตัวซอฟต์แวร์เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ผ่านมา โดยมีข้อมูล ที่เกิดจากผู้ใช้หลายคน (ตัวอย่างเช่น บล็อก) เป็นตัวผลักดันความสำเร็จของเว็บไซต์อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเว็บไซต์ในปัจจุบันมีลักษณะการสร้างโดยผู้ใช้ที่อิสระ และแยกจากกัน ภายใต้ซอฟต์แวร์ตัวเดียวกัน เพื่อสรรค์สร้างระบบให้ก่อเกิดประโยชน์ในองค์รวม Tim O'Reilly ได้แสดงตัวอย่างของระดับของ Web 2.0 ออกเป็นสี่ระดับ ดังนี้
  • ระดับ 3 - ระดับของการใช้งานจากผู้ใช้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นลักษณะของการสื่อสารของมนุษย์ภายใต้เว็บไซต์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น Wikipedia Skype E-bay Craigslist
  • ระดับ 2 - ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อนำมาใช้งานออนไลน์ นั้น จะมีประโยชน์มากขึ้นจากการเชื่อมโยงผู้ใช้งานเข้าด้วยกัน ซึ่ง Tim O’Reilly ยกตัวอย่างเว็บไซต์ Flickr เว็บไซต์อัปโหลดภาพที่มีการใช้งานเชื่อมโยงระหว่างภาพ และเช่นเดียวกันระหว่างผู้ใช้งาน
  • ระดับ 1 - ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มีความสามารถเพิ่มขึ้นมีนำมาใช้งานออนไลน์ ตัวอย่างเช่น Google Docs และ iTunes
  • ระดับ 0 - ระดับที่สามารถใช้งานได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น Mapquest และ Google Maps
          โดยลักษณะที่เด่นชัดของ Web 2.0 นั้น จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาและการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้งาน แทนที่จากระบบเว็บแบบเก่า ที่เป็นลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว โดยรวมไปถึงการรวดเร็ว และการง่ายดายของการส่งข้อมูล แทนที่แบบเก่าที่ต้องจัดการผ่านเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งบล็อกและเว็บที่ให้บริการอัปโหลดภาพถูกนำมาใช้เป็นตัวอย่างของ Web 2.0 ที่ให้เห็นได้ทั่วไป ที่มีการให้บริการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้งานที่ง่าย โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด เห็นได้ว่าลักษณะของ Web 2.0 นั้นก่อให้เกิดการสร้างเนื้อหา ที่รวดเร็ว และมีการแบ่งปันข้อมูลที่ง่ายขึ้น โดยลักษณะของเว็บเปลี่ยนจากทางเน้นหนักทางด้านเทคนิค ไปในด้านข้อมูลข่าวสารแทนที่ และก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านธุรกิจต่อมา
          ถึงแม้ว่า Web 2.0 จะมีการนิยมใช้งาน AJAX Flash Flex Java Silverlight ช่วยในการจัดการข้อมูล แต่ตัวเทคโนโลยีเหล่านั้น ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในรูปแบบของ Web 2.0 แต่อย่างใด โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นช่วยให้เว็บเพจสามารถดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มาที่หน้าเว็บได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องอ่านหน้าทั้งหมดใหม่ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความสะดวกสบายมากขึ้น
คุณลักษณะของเว็บ 2.0
  1. หลังจากที่ดอตคอมในยุคนั้นได้ล่มสลายลงไป แนวคิดของการสร้างสรรค์ธุรกิจเว็บไซต์ และการออกแบบต่าง ๆ ได้มีพัฒนาการที่สำคัญเพิ่มขึ้นเช่น เรื่องความน่าสนใจของแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ รวมถึงวิธีการดำเนินธุรกิจออนไลน์ด้วยแนวทางใหม่ๆ จึงได้กำหนดคุณลักษณะของเว็บ 2.0 ดังนี้
  2. ลักษณะเนื้อหามีการแบ่งส่วนบนหน้าเพจเปลี่ยนจากข้อมูลก้อนใหญ่มาเป็นก้อนเล็ก
  3. ผู้ใช้สามารถเข้ามาจัดการเนื้อหาบนหน้าเว็บได้และสามารถแบ่งปันเนื้อหาที่ผ่านการจัดการให้กับกลุ่มคนในโลกออนไลน์ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคมออนไลน์สังคมออนไลน์เกิดความเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น เกิดกิจกรรมบนนั้นมากขึ้น
  4. เนื้อหาจะมีการจัดเรียง จัดกลุ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม
  5. เกิดโมเดลทางธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจเว็บไซต์กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล
  6. การบริการ คือ เว็บที่มีลักษณะเด่นในการให้บริการหลาย ๆ เว็บไซต์ที่มีแนวทางเดียวกัน
จาก Web1.0 สู่ยุค Web2.0

เว็บรุ่นเก่านั้น Content มักเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของเว็บ ที่ไม่ต้องการให้นำไปลงที่อื่น แต่ด้วยความเป็นเครือข่ายที่เปิดกว้างของ Web2.0 กติกานี้จึงเปลี่ยนไป เจ้าของเนื้อหากลับต้องการให้เนื้อหาของตัวเองแพร่หลายมากที่สุด เช่น Youtube ให้แปะ Code สั้นๆ แล้วนำคลิปไปฉายในเว็บใดก็ได้ หรือ Blog แทบทุกแห่งก็มี RSS ให้ผู้อ่านเข้าดูผ่านโปรแกรมอื่นๆ หรือเว็บอื่นๆ ได้

และนี่คือตัวอย่างของ รูปแบบของเว็บไซต์ ที่เปลี่ยนจาก Web1.0 ไปสู่ยุค Web2.0

Web1.0
doubleClick.com ระบบแปะแบนเนอร์โฆษณาตายตัว
ofoto.com เว็บอัลบั้มเก็บรูปออนไลน์แบบเก่า
akamai.com เว็บศูนย์กลางรับฝากไฟล์ให้ดาวน์โหลด
britannica.com จับสารานุกรมมาออนไลน์ใส่เว็บ
Homepage ส่วนตัว ผู้เขียนต้องมีความรู้พื้นฐานการทำเว็บ และยากที่จะแบ่งปันส่งต่อเนื้อหาออกไป
แข่งกันจอง Domain Name ชื่อเว็บดีๆ ไว้เก็งกำไร

Web2.0
Google Adsense ระบบโฆษณาเป็นลิงค์ตามแต่คำที่ผู้ใช้ค้นหา
flickr.com เว็บอัลบั้มเก็บและแชร์รูปออนไลน์ที่มีการโยงใยเป็นชุมชน ส่งต่อรูปกันง่าย
BitTorrent ระบบที่ผู้ใช้ต่างก็ดาวน์โหลดไฟล์จากกันและกันเอง
wikipedia.com เว็บสารานุกรมที่ผู้ใช้บัญญัติคำกันเอง ให้ความหมายกันเอง และแก้ไขคำของคนอื่นได้ตลอดเวลา
Blog เขียนง่าย ใส่รูป เสียง คลิปได้ง่ายๆ เหมือนส่งเมล เผยแพร่ส่งต่อได้กว้างขวาง
SEO (Search Engine Optimization) ลงทุนกับเทคนิคทำให้ลิงค์เว็บบริษัทตัวเองได้อยู่หน้าแรกบนๆ ใน Google, เสิร์ชอื่นๆ

กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน


กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
     พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้บัญญัติแนวทางการศึกษาเป็นมาตราต่างๆ ซึ่งการศึกษาในยุคปัจจุบัน ต้องให้ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด มีความรู้ มีคุณธรรม ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ การศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน ภูมิปัญญา และวิทยาการ นอกจากนี้โรงเรียนแต่ละโรงเรียนสามารถสร้างหลักสูตรสถานศึกษาได้เอง โดยมีสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม เป็นหลัก และต้องมีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้วย ซึ่งแต่ละโรงเรียนสามารถกำหนดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนได้ตามความเหมาะสม เพราะความมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาเด็กไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรม และมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข    
     กิจกรรมส่งเสริมการอ่านคือ การกระตุ้นด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านสนใจการอ่านจนกระทั่งมีนิสัยรักการอ่าน และได้พัฒนาการอ่านจนกระทั่งมีความสามารถในการอ่าน นำประโยชน์จาการอ่านไปใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการอ่านทุกประเภท


กรมวิชาการ ให้ความหมายว่า กิจกรรมส่งเสริมการอ่านคือ การกระทำเพื่อ
    1.   เร้าใจบุคคลหรือบุคคลที่เป็นเป้าหมายให้เกิดความอยากรู้ อยากอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่มีคุณภาพ
    2.  เพื่อแนะนำชักชวนให้เกิดความพยายามที่จะอ่านให้แตกฉาน สามารถนำความรู้จากหนังสือไปใช้ประโยชน์ เกิดความเข้าใจในเรื่องต่างๆดีขึ้น
    3.  เพื่อกระตุ้น แนะนำให้อยากรู้ อยากอ่านหนังสือหลายอย่าง เปิดความคิดให้กว้าง ให้มีการอ่านต่อเนื่องจนเป็นนิสัย พัฒนาการอ่านจนถึงขั้นที่สามารถวิเคราะห์เรื่องที่อ่านได้
    4.  เพื่อสร้างบรรยากาศที่จูงใจให้อ่าน

Library 2.0


ก้าวสู่ห้องสมุด 2.0 (Library 2.0) ได้อย่างไร



เขียนโดย Boonlert Aroonpiboon   
          Library 2.0 คืออะไร ลักษณะใดของห้องสมุดจึงจะเรียกว่าเป็นการพัฒนาเพื่อก้าวสู่ Library 2.0 ประเทศไทยก้าวสู่ยุค Library 2.0 แล้วหรือยัง และอีกหลายๆ คำถามที่บรรณารักษ์ ผู้บริหารห้องสมุด และสำนักวิทยบริการต่างๆ ต้องการคำตอบที่ชัดเจน          Library 2.0 กล่าวให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือรูปแบบหนึ่งของการพัฒนาเว็บไซต์บริการ/ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของห้องสมุด สำนักวิทยบริการต่างๆ ที่เน้นการโต้ตอบกับผู้ใช้ การทำงานร่วมกัน ตลอดจนการนำเสนอด้วยสื่อมัลมีเดียที่เหมาะสม ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงนับเป็นการให้บริการที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
          การให้บริการที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางค่อนข้างจะเข้าใจยากไปบ้าง แต่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นก็คงจะหมายถึงการจัดทำเว็บไซต์ที่ผู้ใช้ไม่ได้เพียงแต่เข้ามาดูว่าเว็บห้องสมุดมีอะไรบ้าง ใครเป็นผู้บริหาร หน้าตาอย่างไร และเปิด/ปิดเมื่อไร แต่ผู้ใช้ควรมีส่วนร่วมในการติชม แนะนำบริการ และสร้างสรรค์เนื้อหาร่วมกับบุคลากรของห้องสมุดได้ด้วย โดยการให้สิทธิ์นี้ก็คงแล้วแต่นโยบายของหน่วยงานเอง
ตัวอย่างง่ายๆ ในการก้าวสู่ห้องสมุด 2.0 ก็คือ การพัฒนาเว็บไซต์ที่เน้นสื่อมัลติมีเดีย และเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าต่อผู้ใช้ มากกว่าข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมา รูปแบบการให้บริการ โครงสร้างองค์กร เวลาเปิด/ปิด ดังนั้นบุคลากรของห้องสมุดจะต้องเปิดใจร่วมกันสร้างสรรค์ความรู้ที่ตนมีความเชี่ยวชาญเผยแพร่ และให้บริการในเชิงรุกอย่างแท้จริง ใครถนัดฐานข้อมูลออนไลน์ ก็ไ่ม่ใช่นั่งรอให้ผู้ใช้เข้ามาขอใช้บริการ แต่ควรจะรุกหาผู้ใช้โดยการศึกษาถึงความต้องการ เช่น ปัจจุบันมีเนื้อหาใด หรือหัวข้อใดที่กำลังกล่าวถึง ก็นำเนื้อหาหรือหัวข้อดังกล่าวมาสืบค้นเบื้องต้นจากฐานข้อมูลออนไลน์ และสรุปเป็นข้อมูลหรือสาระความรู้ที่เหมาะสมเผยแพร่ให้ทันต่อสถานการณ์
          หรือการเปิดช่องทางสื่อสาร ถามตอบแแบบเรียวไทม์ (Real time) ด้วยบริการ ICQ, MSN ระหว่างผู้ใช้ห้องสมุดกับบุคลากรห้องสมุด ซึ่งปัจจุบันก็เห็นชัดว่าบุคลากรห้องสมุดจริงๆ ก็เล่น ICQ หรือ MSN กันระหว่างกันอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้มาถาม/ตอบอย่างเป็นทางการนั่นเอง
นอกจากนี้ยังสามารถเปิดเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ผู้ใ้ช้ที่มีความสนใจในการขีดๆ เขียนๆ ร่วมกันสร้างสรรค์เนื้อหาได้อีกด้วย เช่น การเปิดเว็บไซต์ Blog หรือ Wiki ของห้องสมุด อย่างไรก็ตามการดำเนินการในรูปแบบนี้ นับว่าทำได้ยากมากในประเทศไทย ด้วยเหตุผลความปลอดภัยของระบบ และมารยาทของผู้เขียนเอง
อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยี CMS (Content Management System) และ Blog ทำให้การนำเสนอเนื้อหาจากสมาชิก หรือผู้ใช้ไม่เสี่ยงมากนัก โดยการเปิดระบบเขียนหรือแสดงความคิดเห็นที่ต้องผ่านการตรวจสอบด้วยผู้ดูแลระบบ หรือจะใช้บริการฟรี Blog เช่น wordprees.com, blog.com ก็ได้ครับ
          นอกจากนี้เว็บไซต์ห้องสมุด ควรรองรับเทคโนโลยี RSS ทั้งผู้ให้และผู้รับ กล่าวคือ ทุกเนื้อหาในเว็บไซต์ควรสามารถแปลงเป็น RSS ได้ทันที และอนุญาตให้หน่วยงานอื่นหรือผู้ใช้อื่นมาติดตามข่าวสารผ่าน RSS News ได้ทันที หรือจะดึงข้อมูล RSS จากแหล่งอื่นมาเผยแพร่ก็ได้ ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถเด่นของ CMS และ Blog อยู่แล้วครับ
          เนื้อหาหมวดหนึ่งที่เว็บไซต์ห้องสมุดมักจะต้องเผยแพร่ก็คือ หนังสือแนะนำ วารสารแนะนำ หรือสื่อโสตฯ ใหม่ๆ ซึ่งกรณีนี้ก็อาจจะเพิ่มความสามารถแนะนำคำค้นโดยผู้ใช้ที่เรียกว่า Tag ก็ได้ ซึ่งจะทำให้ได้คำค้น หรือ Subject heading ของสื่อนั้นๆ เพิ่มขึ้นและตรงกับความต้องการของผู้ใช้
          ดังนั้้นห้องสมุด 2.0 ไม่ใช่เพียงแค่รอให้ผุ้ใช้มาสืบค้น แต่จะต้องรุกหาผู้ใช้ด้วย สร้างช่องทางแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุด เช่น
  1. เปลี่ยนจากระบบอีเมล์หรือ FAQ เป็นการให้บริการด้วย ICQ หรือ MSN  
  2. เปลี่ยนจากเนื้อหานำเสนอด้วยข้อความอย่างเดียว เป็นการให้บริการด้วยสื่อโต้ตอบ หรือสื่อเสมือนจริง
  3. เปิด Blog หรือ Wiki เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ แลกเปลียนความรู้
  4. คำค้นจากผู้ใช้ (Tag) มีความสำคัญพอๆ กับ Controled Term 
  5. เปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเว็บไซต์แบบธรรมดา หรือจ้างพัฒนาราคาแพง แต่เลือกใช้ความสามารถของ CMS ที่เหมาะสมในกลุ่ม Open Source ที่มีให้เลือกได้หลากหลาย

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จีฉ่อย


       จีฉ่อย     คือ ชื่อร้านขายของชำขนาดหนึ่งคูหา ตั้งอยู่หน้าตลาดสามย่าน ตรงบริเวณถนนพญาไท ตรงข้ามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ชื่อว่าเป็นสีสันแห่งหนึ่งของบริเวณสามย่าน ร้านจีฉ่อยเป็นร้ายขายของที่ขึ้นชื่อว่า มีของขายทุกอย่าง และถ้าของไหนไม่มีขายในร้าน จะสามารถมาเอาได้ภายใน 2 วันให้หลัง โดยเปิดตลอด 24 ชั่วโมง    (ในเวลาเช้าถึงหัวค่ำ จะเปิดทำการที่หน้าร้าน ส่วนในเวลาหลังจากนั้น แม้ว่าดูเหมือนร้านจะปิด แต่คุณสามารถใช้บริการของร้านนี้ได้โดยการไปเคาะประตูหลังร้าน เพียงไม่นานนัก อาซิ้มเจ้าของร้านจะเดินฝ่าความมืดมาใกล้ๆ พร้อมกับถามว่า "ลื้อจาเอาอาราย"  )   ลักษณะร้านเป็นร้านกว้างประมาณ 3 เมตร และลึกประมาณ 10 เมตร ร้านจีฉ่อย เป็นธุรกิจครอบครัวชาวจีนที่เปิดร้านขายของชำ

            *** ตำนานเกี่ยวกับจีฉ่อย ***

                พนักงานขาย

              พนักงานขายของร้านนี้เป็นอาซิ้มสองคนผลัดกันเฝ้าเวร ตลอด 24 ชั่วโมง อาซิ้มทั้งสองคนรูปร่างหน้าตาเหมือนกันมากเนื่องจากเป็นฝาแฝดกัน ทำให้ลูกค้าที่มาซื้อของบ่อย ๆ ต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า คนขายของร้านนี้ไม่หลับไม่นอนกันเลยหรือ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคือ "ฟันทอง"
            อีกประการหนึ่ง ตู้เก็บสินค้าในร้านที่มีจำนวนมาก วางเรียงรายไว้จนเหลือทางเดินในร้านกว้างเพียงแค่ 60 เซนติเมตร จะต้องอาศัยพนักงานร่างเล็กสองคนนี้เท่านั้น จึงจะสามารถเดินไปหยิบของภายในร้านมาให้ได้
             มีอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า การที่มีร้านจีฉ่อยตั้งอยู่ ณ ตลาดสามย่าน จนถึงปัจจุบันนี้ได้นั้น เป็นเพราะอาซิ้มเจ้าของร้านนั้น ถูกลอตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง จึงได้นำเงินรางวัลที่ได้มานั้นไปลงทุนซื้อข้าวของ เพื่อเปิดเป็นร้านขายของโชว์ห่วย แต่บังเอิญว่าซื้อเยอะเกินไปหน่อย จึงเป็นเหตุให้ข้าวของที่ซื้อมาเยอะเกินไปนั้น ต้องวางกองอยู่เต็มร้านจนทำให้ร้านมีสภาพดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
         เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจที่ได้ทราบมาในภายหลังว่าอาซิ้มคนหนึ่งได้เสียชีวิตไปเสียแล้ว
              ตอนนี้ ลูกชายแกมาช่วยขายในบางวัน บางทีอาซิ้มแกงงๆ หลงๆ ลืมๆ ก็จะได้สติจากลูกชายแกทำให้ขายของได้ถูกต้องมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีลูกจ้างสาวอีกหนึ่งคนคอยช่วยขายด้วย ในร้านยังมีหมาของแกอีกตัวคอยช่วยเฝ้าของ แต่เนื่องด้วยของในร้านเยอะมาก เจ้าของร้านสามารถเดินได้ทีละคนเท่านั้น สวนกันตรงทางเดินไม่ได้ ขนาดหมายังต้องวิ่งไปให้สุดร้านถึงจะกลับตัววิ่งออกมาได้
                        เทคนิคการขาย
             เทคนิคการขายของร้านนี้คือถามหาอะไรมีหมด หากว่าสินค้าชิ้นนั้นไม่มีในร้าน ก็จะบอกให้รอเดี๋ยว แล้วก็หามาให้จนได้ เช่นหากต้องการทานข้าวขาหมู ถามว่ามีไหม พนักงานขายจะบอกว่า "มี รอเหลียว" (มาจาก รอเดี๋ยว) แล้วออกไปหลังร้าน ซื้อข้าวขาหมูจุฬาฯจากตลาดสามย่านมาให้ หรือเคยมีคนถามหากระบวยพลาสติกตักน้ำในห้องน้ำ ก็บอกว่า "มี รอเหลียว" แล้วไปหยิบมาจากไหนมาไม่ทราบ ยังมีน้ำหยดติ๋ง ๆ อยู่ ถือว่าพนักงานขายร้านนี้มีสปิริตของนักขายอย่างแท้จริง ถ้าถามถึงเลื่อย แกก็จะวิ่งไปร้านขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ข้างๆแกล่ะ แล้วก็มาตั้งราคาเอง ถ้าของชิ้นนั้นต้องใช้เวลาในการหาสักครู่ใหญ่ แกก็จะมีลูกอม หรือขนมขบเคี้ยวมาให้บริการลูกค้าด้วย จะได้ไม่เบื่อ และถ้าซื้อเยอะล่ะก็ แกก็จะมีของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ปากกา (ถ้าเป็นนิสิต) มอบให้ลูกค้าอีกต่างหาก
            ราคาของ
             หลายๆครั้งที่พนักงานขายจะถามว่า "เคยซื้อเท่าไร" เมื่อบอกราคาที่เคยซื้อไปแล้วเขาจะบอกราคาสินค้าให้เรา สูงกว่าบ้างต่ำกว่าบ้าง โดยที่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนแต่อย่างใด เช่น เทปMiniDVที่ขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปราคาม้วนละ 500 บาท แต่ถ้าลูกค้าโดนถามว่าซื้อมาเท่าไหร่ ก็จะตอบว่า 200 แล้วอาซิ้มก็จะให้ราคาตามนั้น ถูกบ้าง แพงบ้าง แล้วแต่อารมณ์และความรู้ในสินค้าของแก

                        ของที่ขาย
                ตัวอย่างสินค้าที่มาขาย หรือเคยวางขายในร้านได้แก่ ของเล่น น้ำอัดลม ปากกา สบู่ ลูกบอลพลาสติก ปูนพลาสเตอร์ รองเท้า กากเพชร กับดักหนู ใบลงทะเบียนเรียนของจุฬาฯ ตั๋วเครื่องบิน ฮูล่าฮูป เปียโน สีน้ำมัน และรถยนต์
               มีผู้ที่เคยใช้บริการบอกว่า เคยไปซื้อฮาร์ดดิสก์จากอาซิ้ม เพราะคิดว่าไม่มีแน่นอน แต่อาซิ้มก็ตอบว่ามีแล้วมุดไปหาจนเจอจนได้ มีผู้ใช้บริการอ้างว่า เคยตัดชุดครุยรับปริญญากับจีฉ่อย นัดแค่สองวันมีช่างมาวัดตัวเสร็จสรรพ ได้ชุดครุยยี่ห้อจีฉ่อยไปใส่ถ่ายรูปสวยงาม นอกจากนี้เคยมีนิสิตคณะหนึ่งยืนยันได้ว่าเคยจ้างวาน ให้ร้านจีฉ่อยไปซื้อ เซียมซีเพื่อใช้ในการทำงานมาแล้ว
             นิสิตคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ คนหนึ่งเล่าว่า เคยไปซื้อของกลางดึกเพื่อทำวิทยานิพนธ์ ประมาณตี 1 เจ้าของร้านบอกให้ไปหลังร้าน ซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียน เสร็จแล้วก็นึกสนุกระหว่างที่รอซิ้มค้นหาของ ตะโกนถามซิ้มว่า มีลิโพ ขายไหม ซิ้มก็ตอบทันทีว่า "จะเอากี่ขวด".. "ยาแก้ปวดล่ะ" แน่นอน ซิ้มตอบ "จะเอากี่เม็ด" นิสิตคนนั้นไม่ยอมแพ้ถามต่อ ว่า "แล้วเก้าอี้หมอฟันล่ะ มีขายมั้ย" ซิ้มนิ่งไปนิดนึงก่อนจะตอบว่า "รอเดี๋ยว" ...(ไม่มีการยอมแพ้)
             อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่นิสิตจุฬาฯชอบไปลองของกับอาซิ้มเจ้าของร้าน โดยสั่งซื้อ "กิโมโน 1 ชุด"   อาซิ้มหันมาและถามว่า "ลื้อ จะเอาจริงรึเปล่า?" (นั่น มีท้าทายกันด้วย) นานไปๆ จากร้านขายของสารพัดอย่าง ก็เป็นได้ทั้งเวทีท้ามวย ขายหัวเราะ ร้านอาหาร ร้านตัดผม และร้านอื่นๆอีกมากมาย ยิ่งการประชันฝีมือ จีฉ่อยไม่เคยแพ้ใครเลย แม้จะมีคนท้าว่าอยากใส่รองเท้าบู๊ทสีชมพูสด ขนาดฝ่าเท้า แกก็อุตส่าห์หามาให้จนได้ นะ
               อันนี้ก็ขอเสริมอีกหน่อยว่า อันนี้เขาเล่ากันมานะ มีคนเคยลองของกับเจ๊แกอีกแล้ว. . . "เจ๊ ข้าวมันไก่จาน" เจ๊แกก็ "รอเหลียวๆ" หายไปพักใหญ่ๆ เจ๊แกเดินออกมาพร้อมกับข้าวมันไก่จริงๆ เคยขอซื้อเก้าอี้หวายยังมีเลย และเมื่อไม่นานมีนี้ เพื่อนๆ ที่คณะของผมก็เคยไปซื้อกระด้งมาแล้ว โอ้โห หามาได้ แต่แพงหน่อยนะ อันละตั้งเกือบ 300
              นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า เคยมีคนคิดที่จะลองของ โดยจะไปขอซื้อ
"เฮลิคอปเตอร์"  จากเจ๊แกเหมือนกัน แต่สุดท้ายไม่กล้าไปลอง เพราะกลัวว่าด้วยสปิริตนักขายอันแรงกล้าของเจ๊แก จะพาลทำให้เจ๊แกถ่อสังขารไปสรรหา"เฮลิคอปเตอร์"มาให้ลูกค้า จนอาจทำให้เจ๊แกล้มหมอนนอนเสื่อลงไปได้ เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ และอีกเหตุผลนึง คือ กลัวจะไม่มีตังจ่ายเจ๊แก เพราะเจ๊แกอาจจะไปหา"เฮลิคอปเตอร์"มาได้จริงๆก็เป็นได้ เพราะขนาดลอตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งเจ๊แกยังมีปัญญาหามาจนมีเงินมาเปิดร้านได้เนี่ย เจ๊แกอาจจะมีปัญญาหาเฮลิคอปเตอร์มาให้ก็ได้นี่นาใครจะไปรู้ล่ะ

บริการยืมระหว่างห้องสมุด/สถาบัน


       บริการยืม ระหว่างห้องสมุด ( Interlibrary Loan Service) หมายถึง เป็นการบริการที่ห้องสมุดแห่งหนึ่งติดต่อขอยืมหรือถ่ายสำเนาเอกสารหรือวัสดุ เพื่อการศึกษาอื่น ๆ ซึ่งไม่มีในห้องสมุดของตนมาให้บริการตามที่ผู้ใช้บริการต้องการ โดยปฏิบัติตาม ระเบียบการยืม ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างห้องสมุดผู้ให้ยืม (Lending Library) และห้องสมุดผู้ขอยืม (Borrowing Library)
       บริการยืมระหว่างห้องสมุด เป็นบริการที่ทางห้องสมุดจัดขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับเอกสารสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็น บทความในวารสาร / หนังสือ / ตำราเรียน / วิทยานิพนธ์ / งานวิจัย ฯลฯ โดยทางห้องสมุดจะดำเนินการขอข้อมูลจากห้องสมุดหรือศูนย์สารนิเทศทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์ หรือ pdf file ให้ผู้ขอใช้

ประโยชน์ที่ผู้ใช้บริการจะได้รับ
1. ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับสารนิเทศ ๆ ตามที่ต้องการไม่ว่าสารนิเทศนั้นจะเก็บไว้ที่ใด
2. ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของผู้ใช้โดยไม่ต้องเดินทางไปแสวงหาสารนิเทศที่ต้องการด้วยตนเอง

ลักษณะการให้บริการ
        การให้บริการยืมระหว่างห้องสมุดส่วนใหญ่เป็นการให้บริการทำสำเนาเอกสาร ได้แก่ บทความ หนังสือ วิทยานิพนธ์ และเอกสารวิชาการต่าง ๆ

วัตถุประสงค์
1. ส่งเสริมให้วิจัยและการศึกษาในเชิงลึก โดยยึดถือหลักการให้ยืมสำหรับสิทธิพื้นฐานของผู้ใช้ห้องสมุด
2. ให้บริการแก่ผู้ใช้มากขึ้นในการลงทุนคงที่
3. ให้บริการคงเดิมในราคาที่ถูกกว่าเดิมหรือลงทุนน้อยลง

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ห้องสมุดในอนาคต



ปรับปรุงจากหนังสือ เปลี่ยนโลกรอบตัว จัดทำโดย ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2553 ห้องสมุดที่เราคุ้นชินกับการค้นหนังสือเล่มหนาเตอะ มาหาข้อมูลด้วยการอ่านบนโต๊ะ กำลังจะพัฒนาไปสู่หน้าจอกระจกหรือพลาสติค ที่สามารถหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วทันใจ  ก่อนหน้านี้หากต้องการหาหนังสือซักเล่มในห้องสมุด คงต้องเดินไปคุ้ยจากบัตรรายการที่วางเรียงเป็นแถว หรือคลิกไปหาในระบบสืบค้นหนังสือจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบการจัดการทั้งหมดล้วนอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์  แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เรื่องราวในห้องสมุดก็เปลี่ยนแปลงตั้งแต่การจัดเก็บ ค้นหา ไปจนถึงการมีส่วนร่วมดูแลข้อมูลของทุกคนที่ท่องโลกอินเตอร์เน็ต

Web 2.0  Library 2.0
จากแนวคิด สู่การประยุกต์ใช้จริง
โลกเสมือนในอินเตอร์เน็ตดูเหมือนจะซ้อนทับกับโลกแห่งความจริงอย่างแยกไม่ออก ผู้คนนำตัวไปอาศัยในพื้นที่อิสระแห่งนี้ ตั้งแต่การเรียนรู้ การทำงาน รวมถึงการบริโภค จับจ่ายใช้สอยได้อย่างไร้ขอบเขตด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงขนาดบันดาลทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ดังคุณสมบัติของ Web 2.0 ที่สามารถเอื้อให้เกิดการสื่อสารแบบ 2 ทาง

ปัจจุบัน นักท่องโลกไซเบอร์สามารถกลั่นไอเดียเจ๋งๆได้ด้วยตัวเอง โดยมีเพื่อนร่วมโลก   ไซเบอร์เป็นผู้รับชม ฟัง และอ่าน

แทบไม่น่าเชื่อว่าเราสามารถเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ หรือดารานำบน Youtube เป็นศิลปิน-แต่งเพลงบน Myspace เป็นช่างภาพมืออาชีพบน Flickr เป็นดีเจ-พิธีกรบน Podcast หรือเป็น     นักประพันธ์บนหน้า Blog ของเราเองได้ ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้ง่าย เร็วทันใจ และทันทีที่ต้องการ เรียกได้ว่าอยู่ในห้องนอนคุณก็สามารถเสิร์ฟงานสุดเจ๋งให้ทั่วโลกยลได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ ทำให้เกิดแนวคิดในการนำ Web 2.0 เข้ามาผนวกกับการบริการออนไลน์ของห้องสมุดจนกลายเป็น “Library 2.0” แต่เดิมห้องสมุดมีแนวคิดในการปรับปรุงพัฒนาสื่อและบริการให้เป็นห้องสมุดที่เต็มไปด้วยความทันสมัยของข้อมูลความสะดวกในการใช้บริการ และสามารถให้ผู้ใช้บริการร่วมแบ่งปันข้อมูลกับห้องสมุดได้
นำห้องสมุดเข้าสู่โลก 2.0 ได้อย่างไร ?
การจะเข้าสู่โลก 2.0 ได้ ต้องเริ่มจากการเป็นผู้เล่นก่อน มีห้องสมุดจำนวนมากที่ได้เริ่มและลองเล่นเครื่องมือการสร้างเครือข่ายทางสังคมต่างๆ (Social Networking Tools) ที่มีให้บริการมากมาย แล้วนำมาประยุกต์ใช้ เช่น

Blog - บทความออนไลน์ที่ใครๆ ก็เขียนได้ หลายหน่วยงานใช้เพื่อประกาศข้อมูลข่าวสารให้ผู้สนใจได้ติดตาม

Wiki - ต้นแบบของการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้เขียนบทความสารานุกรมในเรื่องที่น่ารู้ต่างๆ ในแบบช่วยกันเขียน ช่วยกันแก้ไข อภิปรายร่วมกันจนได้ข้อสรุปสุดท้าย เป็นองค์ความรู้ที่น่าเชื่อถือ

Folksonomy - เรียกอีกอย่างว่า Tag เป็นคำหรือข้อความที่บอกถึงหมวดหมู่กลุ่มเนื้อหาของสิ่งต่างๆ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ซึ่งบางคนอาจจะประยุกต์ใช้โดยตอบแทนที่จะบอกว่าสิ่งนั้นเกี่ยวกับอะไร แต่ให้ข้อมูลการนำไปใช้แทนก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

RSS - รูปแบบการรับส่งข้อมูลข่าวสารที่สะดวกรวดเร็ว ทำให้เราสามารถติดตามความเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพียงแค่บอกรับ (Subscribe) เว็บที่เราสนใจ หากมีการอัพเดตใดๆ ข้อมูลเหล่านี้จะเข้ามาหาเราไม่ต้องเข้าไปเว็บไซต์นั้นให้เสียเวลา

Podcast และ Videocast - การเผยแพร่ไฟล์เสียงและไฟล์วีดีโอต่างๆ ที่น่าสนใจเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายข้อมูลข่าวสารของหน่วยงาน ซึ่งผู้ใช้สามารถบอกรับการอัพเดตได้เช่นเดียวกับระบบ RSS

Social Bookmarking - แบ่งปันลิงก์ (Link) URL เว็บไซต์ที่น่าสนใจร่วมกันสร้างให้เกิดแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เพราะอย่างน้อย URL เหล่านั้นก็เคยมีคนเก็บไว้เพื่อเรียกใช้งาน ห้องสมุดบางแห่งใช้ del.icio.us (Delicious) เพื่อการสร้าง
Subject Guide หรือชี้แหล่งข้อมูลในหัวเรื่องที่น่าสนใจ หรือใช้ในการตอบคำถามได้อีกด้วย

Social Networking - เครือข่ายทางสังคมของคนที่สนใจอะไรเหมือนกัน มีตัวอย่างให้เห็นมากมายในปัจจุบัน ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์กับข้อมูลเฉพาะด้านต่างๆ

Next Generation OPEC - การสืบค้นหนังสือหรือข้อมูลยุคใหม่ ที่ต้องสะดวกรวดเร็ว   พาผู้ใช้ไปยังข้อมูลที่เขาสนใจได้อย่างง่ายดาย มีข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ มีเครื่องมือในการช่วยเหลือให้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้นรวมถึงเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นในรายการต่างๆได้
          
           ห้องสมุดในยุคแรกๆ   ของโลก ได้แก่ “ห้องสมุดอเล็กซานเดรีย” ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นห้องสมุดที่อนุญาตให้เฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย ขุนนางและชนชั้นที่ร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถเข้าไปใช้บริการในห้องสมุดได้ นอกจากนี้ยังได้จัดทำรายการหนังสือ ซึ่งนับว่าเป็นการจัดทำบรรณานุกรมครั้งแรกสุด ( Encuclopedia Britannica 1953 : Vol 14 : 2)

         “อเล็กซานเดรีย” อยู่ทางเหนือสุดของอียิปต์ เป็นเมืองเก่า อยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เคยปกครองโดยชาวเมืองอียิปต์ดั้งเดิม แล้วก็ตกเป็นของกรีกโรมัน  จนมาถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลามจากอาณาจักรออโตมัน เมืองนี้เลยมีศิลปะของทางกรีก โรมัน และตุรกี ปะปนกัน
 
LIBRARY IN FUTURE
ห้องสมุดแบบดั้งเดิมมีหนังสือ นิตยสาร และวารสารมากมายที่พิมพ์ไว้บนหน้ากระดาษกว่าล้านๆ แผ่น แต่ข้อมูลจำนวนมากที่พบได้ในห้องสมุดทุกวันนี้ ยังสามารถพบได้ทางคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกัน

ดังนั้น การที่เราสามารถหาข้อมูลได้สะดวกง่ายดายทางอินเตอร์เน็ต จึงทำให้เกิดคำถามที่ว่า 
“ห้องสมุดจะมีบทบาทอย่างไรในอนาคต”
จากแนวโน้ม ห้องสมุดในอนาคตจะแตกต่างจากห้องสมุดในปัจจุบัน ทั้งภายในและภายนอก โดยห้องสมุดจะไม่ใช่แหล่งสำหรับการค้นหาข้อมูล หรือเป็นแหล่งเรียนรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิด ประสบการณ์ และเรื่องอื่นๆ ระหว่างกันอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เราสามารถเห็นได้ในปัจจุบันจากเว็บไซต์ Social Network ต่างๆ

จึงเห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้ว่า ห้องสมุดในอนาคต จะเป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้มากขึ้น อาจมีหนังสือน้อยลง และมีที่ว่างมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ มีการพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้ มีจอคอมพิวเตอร์ทันสมัยมากขึ้น สำหรับช่วยหาข้อมูลและเรียกดูข้อมูลต่างๆ การเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิตอลต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดแค่สิ่งพิมพ์ ซึ่งหนังสือจำนวนมากจะถูกเก็บในรูปแบบของดิจิตอลไฟล์ มีจอ TV มากขึ้นสำหรับการดูสื่อ Multimedia และอื่นๆ

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หน้า 20

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มาตรฐานห้องสมุด

สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ ได้พัฒนาและประกาศใช้มาตรฐานห้องสมุดประเภทต่างๆ รวม 6 มาตรฐาน คือ
1. มาตรฐานห้องสมุดเฉพาะ นับตั้งแต่รมวิเทศสหการได้เริ่มจัดทำเมื่อ พ.ศ. 2508 มีการปรับปรุงแก้ไขเมื่อ พ.ศ. 2519  พ.ศ. 2529 พ.ศ. 2531 และฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ตือมาตรฐานห้องสมุดเฉพาะ พ.ศ. 2545
2. มาตรฐานห้องสมุดประชาชน พ.ศ. 2533 และปรับปรุงแก้ไขฉบับที่ใช้ในปัจจุบันคือ มาตรฐานห้องสมุดประชาชน พ.ศ. 2550 ซี่งเป็นผลจากการวิจัยโดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาให้ รองศาสตราจารย์ ดร.ชุติมา สัจจานันท์ นายกสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ คนปัจจุบันเป็นผู้วิจัย และอนุญาตให้สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย       ทำมาประกาศใช้
3. มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2533  
4. มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนมัธยมศึกษา พ.ศ. 2533  
5. มาตรฐานห้องสมุดสถานศึกษาเพื่อการอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี  พ.ศ. 2535  
6. มาตรฐานห้องสมุด  พ.ศ. 2549 เป็นมาตรฐานกลางเชิงคุณภาพ เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการปรับปรุงและพัฒนามาตรฐานห้องสมุดประเภทอื่นๆ  
              กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการรู้สารสนเทศในระดับชาติ คือ การที่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ปี พ.ศ. 2546 เป็นปีแห่งการอ่าน เพื่อมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยเรียน มีนิสัยรักการอ่าน เพื่อสร้างการรู้สารสนเทศ จึงมีความเคลื่อนไหวในการปรับปรุงและพัฒนาห้องสมุด โดยคณะรัฐบาลได้มอบนโยบายในการบริการระบบห้องสมุดไว้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายในการพัฒนาระบบอุดมศึกษา คือการทำให้ห้องสมุดน่าสนใจ เป็นห้องสมุดที่มีชีวิต (living library) ซึ่งคาดหมายได้ว่าจะช่วยทำให้คนทั่วไปหันมาใช้บริการห้องสมุด และจะทำให้เกิดนิสัยรักการอ่านได้ แนวทางการพัฒนาห้องสมุดปัจจุบันจึงเป็นแนวทางการสร้างการรู้สารสนเทศให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้
สุทธิลักษณ์ อำพันวงษ์. (2511). มาตรฐานของห้องสมุดในประเทศไทย. พระนคร: แผนกวิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า

1. บริการตอบคำถาม (reference service) เป็นบริการช่วยผู้ใช้ในการค้นหาคำตอบที่ต้องการ ซึ่งผู้ใช้อาจสอบถามด้วยตนเอง ที่โต๊ะบริการตอบคำถาม สอบถามทางโทรศัพท์หรือทางไปรษณีย์ ลักษณะของคำถามอาจเป็นคำถามทั่วไปเกี่ยวกับห้องสมุด เช่น คำถามเกี่ยวกับแหล่งจัดเก็บและบริการหนังสือ วารสาร วัสดุไม่ตีพิมพ์ ระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือ สัญลักษณ์ต่าง ๆ เป็นต้น หรืออาจเป็นคำถามที่ต้องใช้หนังสือ หรือหลักฐานอ้างอิงในการค้นหาคำตอบ หรืออาจเป็นเรื่องของการแนะนำหนังสือ วารสาร วัสดุสารสนเทศอื่นๆ ให้เลือกอ่านตามความสนใจ
2. บริการช่วยค้นคว้าวิจัย (research service) เป็นบริการที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ห้องสมุดในการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังศึกษาวิจัย  ซึ่งบรรณารักษ์จะทำการติดตามข่าวสารความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา จัดหา รวบรวม จากหนังสือ วารสาร เอกสาร ทั้งที่เป็นสิ่งตีพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ฐานข้อมูลซีดีรอม ฐานข้อมูลออนไลน์ ต่างๆ จัดทำคู่มือ/เครื่องมือเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูล สารสนเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็ว การจัดบริการมีดังนี้
          บริการสืบค้นข้อมูลหรือบริการช่วยค้นคว้าวรรณกรรมในแขนงวิชาใดวิชาหนึ่งอย่างละเอียด ในหัวข้อ ปัญหา หรือ เรื่องราวในสาขาวิชาที่กำลังศึกษาวิจัย โดยการสืบค้นรวบรวมรายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์ เอกสาร วรรณกรรมจากฐานข้อมูล และวัสดุสารสนเทศต่างๆ  ที่เกี่ยวข้องไว้ ซึ่งอาจจัดทำสาระสังเขปประกอบไว้ด้วยเพื่อช่วยประหยัดเวลาในการอ่านของผู้ใช้
          บริการจัดทำดรรชนี เพื่อเป็นคู่มือในการค้นหาสารสนเทศจากทรัพยากร ห้องสมุด เช่น ดรรชนีวารสารที่ห้องสมุดบอกรับ และเนื่องจากบางครั้งการสร้างดรรชนีค้นจากการทำรายการของห้องสมุดอาจไม่ละเอียดพอ และมีสารสนเทศบางรายการที่มีคุณค่าต่อการศึกษาค้นคว้าซ่อนอยู่ สิ่งพิมพ์บางรายการจัดทำดรรชนีเฉพาะชื่อเรื่องเท่านั้น หรือ สิ่งพิมพ์บางเล่มมีเนื้อหาหลายเรื่องอยู่ในเล่มเดียวกัน การสร้างดรรชนีคำค้นอาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด เช่น หนังสืออนุสรณ์ หนังสือรวมบทความ เอกสารการประชุมสัมมนาต่างๆ หนังสือราชกิจจานุเบกษา สยามจดหมายเหตุ เป็นต้น จึงเป็นหน้าที่ของบรรณารักษ์บริการตอบคำถาม ที่จะต้องสร้างเครื่องมือในการค้นหาเพื่อให้สามารถเข้าถึงและสามารถบริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว
          บริการจัดทำสาระสังเขป สาระสังเขปแต่ละรายการจะให้รายละเอียดทางบรรณานุกรมอย่างครบถ้วน ได้แก่ ผู้แต่ง ชื่อเรื่อง สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ พร้อมเนื้อหาสาระที่สำคัญโดยสรุป ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดเวลาของผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้ได้อ่านสาระสังเขปจะสามารถทราบได้ว่าหนังสือ สิ่งพิมพ์ วัสดุสารสนเทศ นั้นๆ ตรงกับความต้องการหรือไม่ และหากสนใจจะอ่านฉบับเต็มก็สามารถติดตามหาอ่านได้ง่าย
3. บริการยืมระหว่างห้องสมุด เป็นบริการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ห้องสมุด  ในกรณีที่สำนักหอสมุดไม่มีรายการทรัพยากรสารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่สามารถจัดหามาบริการได้ทันกับความต้องการ หรือ อาจด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณที่ไม่ว่าห้องสมุดใดๆ ก็ไม่สามารถจัดหาหนังสือทุกเล่ม วัสดุสารสนเทศทุกรายการที่มีผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายมาไว้ให้บริการในห้องสมุดของตนได้ หรือรายการสารสนเทศนั้นไม่มีจำหน่าย  หรือจำหน่ายหมดแล้วและไม่ผลิตซ้ำอีก ซึ่งบรรณารักษ์จะทำการสืบค้นตรวจสอบว่ารายการนั้นๆ มีให้บริการในสถาบันบริการสารสนเทศใด สามารถขอยืมฉบับจริงมาให้กับผู้ใช้ได้หรือไม่ หรืออาจขอทำสำเนาเอกสารมาให้บริการ บริการนี้จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลน  หรือความไม่พอเพียงของทรัพยาการของห้องสมุดได้ และยังช่วยประหยัดงบประมาณในการพัฒนาทรัพยากรห้องสมุดได้ด้วย
4. บริการจัดทำบรรณานุกรม เป็นการรวบรวมรายชื่อหนังสือ บทความวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือ สื่อสารสนเทศอื่นๆ เช่น แผนที่ รูปภาพ ฯลฯ โดยบรรณารักษ์บริการตอบคำถามจะทำการรวบรวมรายการสารสนเทศเหล่านี้ นำมาจัดเรียงตามหลักเกณฑ์การจัดทำบรรณานุกรม ซึ่งอาจจัดเรียงแยกตามประเภทของสื่อสารสนเทศ หรือ อาจเรียงทุกประเภทรวมกันก็ได้ 
             การจัดทำบรรณานุกรมนี้ อาจจัดทำเฉพาะเรื่องตามความต้องการของผู้ใช้ หรือเป็นบรรณานุกรมเรื่องที่น่าสนใจก็ได้  ทั้งนี้เป็นการคาดคะเนถึงความต้องการใช้สารสนเทศของบรรณารักษ์บริการตอบคำถาม ที่ได้สัมผัสกับผู้ใช้โดยตรง และเป็นผู้ที่ต้องติดตามข่าวสารความรู้ หลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ โดยจะคำนึงถึงขอบเขตเนื้อหาของเรื่องที่จะรวบรวม ความทันสมัยของวัสดุสารสนเทศ การลงรายการ วัตถุประสงค์ในการใช้ ทั้งนี้รายการบรรณานุกรมอาจมีสาระสังเขปประกอบด้วย เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการอ่านให้กับผู้ใช้
             บริการจัดทำบรรณานุกรมนี้หมายรวมถึง การให้ความช่วยเหลือแนะนำในการค้นหารายละเอียดทางบรรณานุกรม กรณีที่ผู้ใช้ห้องสมุดต้องการทราบรายละเอียดทางบรรณานุกรมหนังสือ เอกสาร วัสดุสารสนเทศที่ต้องการ แต่ไม่สามารถค้นหาได้  และรวมถึงบริการแนะนำการเขียนบรรณานุกรมซึ่งก็เป็นอีกบริการหนึ่งที่บรรณารักษ์ตอบคำถามจะต้องให้คำแนะนำปรึกษา เพราะในการเขียนผลงานทางวิชาการ การทำรายงานการค้นคว้าวิจัย วิทยานิพนธ์ นั้นจำเป็นต้องเขียนอ้างอิงเพื่อเป็นหลักฐานและข้อเท็จจริง ตลอดจนเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าของผลงาน และรวมถึงในแง่ของสิขสิทธิ์ผลงานด้วย บางครั้งผู้สร้างสรรค์ผลงานอาจไม่แน่ใจในหลักการเขียนอ้างอิงทางวิชาการ บรรณารักษ์ตอบคำถามจะคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ

5. บริการสอนการใช้ห้องสมุด เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่สำคัญของบรรณารักษ์บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า ที่จะต้องสอนให้ผู้ใช้ห้องสมุดให้รู้จักใช้ห้องสมุดได้ด้วยตนเอง คือให้ผู้ใช้ได้รู้จักห้องสมุด ใช้บริการต่างๆ ของห้องสมุด ใช้หนังสืออ้างอิง ทรัพยากรสารสนเทศในสาขาวิชาต่างๆ ในหลากหลายรูปแบบทั้งหนังสือ วารสาร จุลสาร เอกสาร กฤตภาค ฐานข้อมูล และอื่นๆ  ตลอดจนรู้จักใช้เครื่องมือ/คู่มือ ในการเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้าวิจัยต่างๆ  ที่ห้องสมุดจัดหาไว้บริการให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด ทั้งนี้การสอนการใช้ห้องสมุดจะทำให้ผู้ใช้คุ้นเคยกับวัสดุสารสนเทศต่างๆ ในห้องสมุด ผู้ใช้มีทักษะในการที่จะแสวงหาสารสนเทศตามความต้องการได้อย่างอิสระเสรี
ที่มา : http://www.lib.ru.ac.th/article/refservice.html

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บริการบนอินเทอร์เน็ต

     เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อรับส่งข้อมูลแลกเปลี่ยนกันได้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวดเร็วกว่าการติดต่อแบบธรรมดา และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูกกว่ามาก
1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail) ผู้ใช้บริการสามารถติดต่อรับ-ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอกนิกส์ หรือ E-Mail กับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเมื่อมีอุปกรณ์และได้ติดตั้งบนอินเทอร์เน็ตไว้แล้ว นอกเหนือจากค่าเช่าเวลาอินเทอร์เน็ตและค่าต่อโทรศัพท์เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตเท่านั้น บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จะมีความรวดเร็วและสะดวกมาก สามารถติดต่อส่งข้อความจดหมายถึงผู้รับได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
2. สนนทนาแบบออนไลน์ ผู้ใช้สามารถพูดคุยโต้ตอบกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนอื่นได้พร้อมกันหลายๆ คน ในเวลาเดียวกัน โดยการพิมพ์ข้อความเข้าไปทางคีย์บอร์ดโต้ตอบกันได้ทันทีเสมือนกับการคุยกัน แต่ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของคู่สนทนา
3. กระดานข่าว หรือบูเลตินบอร์ดบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กระดานข่าวจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ จำนวนหลายพันกลุ่ม เรียกกว่า กลุ่มข่าว (New Group) ทุกวันจะมีผู้ส่งข่าวสารผ่านระบบกระดานข่าว โดยแบ่งแยกออกตามกลุ่มที่สนใจ เช่น กลุ่มผู้สนใจศิลปะ กลุ่มผู้่ในใจเพลงร็อค กลุ่มวัฒนธรรยุโรป กลุ่มผู้ที่สนใจในเรื่องของแต่ละประเทศ เช่น กลุ่ม Thai Group เป็นต้น
4. Ftp (File Transfer Protocol) บริการโอนย้ายไฟล์ข้อมูล หรือไฟล์โปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ติดต่อเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการในอินเทอร์เน็ตและดาวน์โหลดหรือโอนย้ายไฟล์ที่ต้องการมาที่ผู้ใช้ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถจะส่งไฟล์ออกไปยังเครื่องอื่นได้เช่นกัน เป็นข้อมูลใดก็ได้ไม่จำกัด
5. Telnet สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ตั้งอยู่ไกลออกไป ก็สามารถใช้งานได้เหมือนกับเราไปที่เครื่องนั้นเอง โดยจำลองคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็นเสมือนจอภาพเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นได้
6. Archie ผู้ใช้บริการจะทำตัวเสมือนเครื่องลูกข่ายที่เรียกเข้าไปใช้บริการ Archie Sever เพื่อค้นหาข้อมูลที่ตนเองไม่ทราบว่าเก็บไว้สถานที่ใด บริการ Archie จะช่วยให้ผู้ใช้ดูได้ว่าข้อมูลที่ตนต้องการอยู่ ณ สถานที่ใด จากนั้นจึงเรียกค้นไปยังสถานที่นั้นโดยตรงต่อไป บริการ Archie เกิดขึ้นจากการที่มีข้อมูลข่าวสารมากมายที่เก็บอยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ไม่สามารถค้นหาข้อมูลได้ว่าข้อมูลที่ต้องการอยู่ ณ สถานที่ใด
7. Gopher เป็นบริการค้นหาข้อมูลแบบลำดับชั้น ซึ่งมีเมนูให้ใช้งานได้สะดวก โปรแกรม Gopher ได้รับการพัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยมิเนโซดา ฐานข้อมูลที่เก็บอยู่ในระบบเป็นฐานข้อมูลที่กระจายกันอยู่หลายแห่งแต่มีการเชื่อมโยงถึงกันเป็นขั้นๆ
8. Hytelnet เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้หาชื่อโฮสต์และชื่อ Login พร้อมคำอธิบายโดยย่อของแหล่งข้อมูลที่ต้องการได้ด้วยการใช้งานแบบเมนู เมื่อได้ชื่อโฮสต์ที่ต้องการแล้วก็สามารถเรียกติดต่อไปได้ทันที แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ของการบริการ Hytelnet นี้มักจะเป็นชื่อที่อยู่ของห้องสมุดต่างๆ ทั่วโลก
9. WAIS (Wide Area Information Service) เป็นบริการที่มีลักษณะเป็นศูนย์ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลและดัชนีสำหรับค้นหาข้อมูลจำนวนมากเอาไว้ เพื่ออำนวนความสะดวกให้ผู้ใช้ในการค้นหาเมื่อเข้าสู่ศูนย์ข้อมูลนั้น และยังมีการเชื่อมโยงไปยังศูนย์ข้อมูลอื่นๆ ปัจจุบันมีศูนย์ข้อมูลแบบ WAIS ให้ค้นหาได้หลายที่
10. บริการความสะดวกอื่นๆ ได้แก่ การสมัครเป็นสมาชิกแม็กกาซีนผ่านอินเทอร์เน็ต การสั่งซื้อสินค้า เช่น คอมแพคดิสก์ ซอฟต์แวร์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง ฯลฯ ผ่านอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้เพียงป้อนหลายเลขบัตรเครดิต ที่อยู่ แล้วรอรับสินค้าอยู่ที่บ้าน บริการชำระค่าสินค้า เช่น ค่าบัตรเครดิต ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่านิตยสาร หนังสือพิมพ์ ฯลฯ
ที่มา : สุนี เลิศแสวงกิจ และพิศิษฐ์ กาญจนพิมาย. ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ. กรุงเทพฯ : วังอักษร, 2550. หน้า 132-134.

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Circulation service

Checking Out books

ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=hBpuIJv8jcc&feature=related


Library RFID: Using the SelfCheck™ R-Series to Check Items Out



Library RFID: Locating Holds & Missing Items with the Digital Library Assistant (DLA)

ลักษณะของห้องสมุดที่ดี

1. อาคารสถานที่ เป็นองค์ประกอบสำคัญของห้องสมุด สำหรับห้องสมุดโรงเรียนอาจแบ่งห้องเรียนมาเป็นห้องสมุด ส่วนห้องสมุดระดับอุดมศึกษามักจะเป็นเอกเทศ ลักษณะของอาคารสถานที่ห้องสมุดที่ดีนั้นจะต้องสะอาด เรียบร้อย มีการจัดตกแต่งให้สวยงามเพื่อจูงใจคนอยากจะเข้ามาอ่านหนังสือ มีอากาศถ่ายเทดี แสงสว่างเพียงพอ มีโต๊ะ เก้าอี้นั่งสบายเพียงพอ และอยู่ห่างไกลจากเสียงที่จะมารบกวนสมาธิ
2. บุคลากร ห้องสมุดจะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับหน้าที่การงานซึ่งประกอบด้วยบรรณารักษ์ และเจ้าหน้าที่มีความสามารถในการปฏิบัติงานของห้องสมุด เป็นต้น
    การปฏิบัติงานห้องสมุด บุคคลที่เป็นบรรณารักษ์จะต้องมีความรู้ 5 ประการ คือ
    2.1 งานทางด้านวิชาการทั่วไป
    2.2 .งานทางด้านเทคนิค
    2.3 งานทางด้านการบริการ
    2.4 งานทางด้านการบริหาร
    2.5 งานทางด้านการประชาสัมพันธ์
3. จัดหนังสือ วัสดุ สิ่งพิมพ์ต่างๆ และโสตทัศนวัสดุ สำหรับให้บริการแก่ผู้ใช้อย่างกว้างขวางทุกประเภท มีการจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ และจัดให้เป็นหมวดหมู่ตามระบบที่ห้องสมุดนั้นใช้จัด
4.ให้บริการหนังสือแบบชั้นเปิด (Open Shelf) คือ การจัดหนังสือไว้บนชั้นวางหนังสือ และให้ผู้ใช้มีโอกาสได้เลือกหนังสือจากชั้นด้วยตนเองตามความต้องการ โดยไม่ต้องให้บรรณารักษ์ หรือเจ้าหน้าที่มาบริการให้
5.การบริการ งานด้านการบริการเป็นหัวใจสำคัญของห้องสมุด จึงควรจัดบริการให้ดีที่สุดและสร้างความประทับใจกับผู้ใช้ห้องสมุดให้มากที่สุด งานทางด้านการบริการที่สำคัญของห้องสมุด ได้แก่
    5.1 การบริการรับและจ่ายหนังสือ
    5.2 บริการหนังสือจอง
    5.3 การบริการแนะนำหนังสือดี หรือหนังสือที่น่าสนใจ หนังสือใหม่ๆ ที่จัดหาเข้าห้องสมุดเพื่อให้ผู้บริการได้ทราบ
    5.4 บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า
    5.5 บริการรวบรวมจัดทำบรรณานุกรม
    5.6 บริการการสอนและแนะนำการใช้ห้องสมุด
    5.7 บริการถ่ายทำสำเนาเอกสาร
    5.8 บริการโสตทัศนวัสดุ
    5.9 บริการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดนิทรรศการ การจัดอภิปรายบรรยายหรือปาฐกถา การแข่งขันทางด้านวิชาการ การเล่านิทาน การแสดงหุ่นกระบอก การแสดงละคร การแข่งขันต่างๆ เป็นต้น
6. มีงบประมาณของห้องสมุด การกำหนดงบประมาณรายจ่ายที่ห้องสมุดจำเป็นต้องใช้ในปีหนึ่งๆ เพื่อใช้ในการดำเนินงานต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ งบประมาณของห้องสมุดได้มาจากหลายทาง เช่น
    6.1 งบประมาณแผ่นดิน ได้รับจากรัฐบาลผ่านกระทรวงต้นสังกัด
    6.2 เงินบำรุงการศึกษา ซึ่งเป็นเงินที่สถาบันการศึกษาได้รับอนุญาตให้เก็บจากนักเรียน นิสิตนักศึกษาและอีกส่วนหนึ่งจะแบ่งมาเป็นเงินบำรุงห้องสมุด
    6.3 เงินรายได้อื่นๆ เช่น ค่าปรับหนังสือที่ยืมห้องสมุดไปแล้วนำมาส่งคืนไปเกินกำหนด ค่าธรรมเนียมต่างๆ ฯลฯ
7. จัดทำคู่มือ หรือเครื่องมือที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ห้องสมุดได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้อง เช่น จัดทำหมู่หนังสือ การจัดทำบัตรรายการ การจัดทำรายชื่อหนังสือหรือบรรณานุกรมตามหมวดวิชา ฯลฯ
ที่มา : สามารถ มีศรี และคณะ. ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ. กรุงเทพฯ : พัฒนาวิชาการ, 2547. (หน้า 10 - 11).

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บริการห้องสมุด

          ห้องสมุดที่ดีควรมีการจัดบริการที่สนองความต้องการของผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ผู้ใช้ได้รับความสะดวกรวดเร็วและสามารถใช้ห้องสมุดในการเพิ่มพูนความรู้ ตลอดจนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ห้องสมุดที่ดีควรจัดหาจัดระเบียบ และจัดบริการดังต่อไปนี้
ที่มารูปภาพ : http://korat3.nfe.go.th/libprathai/index.php?name=news1&file=readnews&id=24
http://www.experientia.com/blog/library-20

1. บริการทรัพยากรสารนิเทศ ห้องสมุดจะคัดเลือกและจัดหาวัสดุสารนิเทศหนังสือและวัสดุสิ่งพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ เตรียมไว้เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้
2. บริการให้ยืมและรับคืนวัสดุสารนิเทศ สิ่งพิมพ์ หรือเอกสาร โดยจัดหาวัสดุสารนิเทศในรูปแบบต่าง ๆ ไว้บริการ และอนุญาตให้ยืมไปใช้นอกสถานที่ได้ และนำกลับมาคืนในระยะเวลาที่กำหนดไว้
3. บริการสืบค้นสารนิเทศอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บริการอินเทอร์เน็ต บริการฐานข้อมูลซีดีรอม ซีดีรอมมัลติมีเดีย
4. จัดบริการแนะนำการอ่าน บริการตอบคำถาม บริการช่วยค้นคว้า บริการแนะนำการใช้ห้องสมุดบริการ แนะนำหนังสือดีหรือหนังสือที่น่าสนใจ หนังสือที่จัดหาเข้าห้องสมุดใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้ทราบ
5. มีหนังสืออ้างอิง หนังสือสำรองซึ่งสงวนไว้ใช้เฉพาะในห้องสมุด หรือให้ขอยืมได้ในเวลาจำกัด
6. บริการโสตทัศนวัสดุและอุปกรณ์ เช่น ชุดศึกษาวิดีทัศน์ด้วยตนเอง เครื่องฉายภาพนิ่ง แผ่นซีดีเพลง หรือภาพยนตร์
7. บริการยืมและถ่ายสำเนาเอกสารระหว่างห้องสมุด
8. บริการรวบรวมบรรณานุกรมหรือจัดทำสาระสังเขป
9. มีการจัดหนังสือเป็นหมวดหมู่ตามระบบสากลไว้ในชั้นเปิด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถหยิบได้ด้วยตนเองโดยสะดวก ทำเป็นคู่มือหรือเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้วัสดุอุปกรณ์ของห้องสมุด
10. บริการถ่ายสำเนาเอกสารสิ่งพิมพ์หรือโสตทัศนวัสดุ
11. บริการส่งเสริมการใช้ เช่น ตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า ปฐมนิเทศ/นำชมห้องสมุด แนะนำวิธีสืบค้นข้อมูล บริการข่าวสารทันสมัย จัดนิทรรศการ จัดทำเอกสาร แผ่นพับคู่มือต่างๆ เช่น แนะนำการใช้ห้องสมุด
12. บริการความรู้สู่ชุมชน เช่น การรณรงค์ให้ความรู้แก่คนในชุมชน โครงการส่งเสริมการรู้หนังสือ โครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านแก่เยาวชน การอบรมระยะสั้นๆ เช่น การค้นสารนิเทศอินเทอร์เน็ต การจัดปาฐกถา โต้วาที ฉายภาพยนตร์ เป็นต้น
13. บริการค้นฐานข้อมูล เป็นบริการที่ห้องสมุดได้จัดให้มีฐานข้อมูลในเรื่องต่างๆ ไว้บริการแก่ผู้ใช้ เช่น ฐานข้อมูลรายการสาธารณะโดยวิธีออนไลน์ (OPAC)
14. จัดสถานที่สะอาดเรียบร้อย เหมาะสมเป็นห้องสมุด เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบายตามสมควร เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ มีโต๊ะ เก้าอี้นั่งสบาย ปราศจากเสียงรบกวน ทำลายสมาธิ มีอากาศถ่ายเท หรือมีพัดลมระบายอากาศ
15. จัดบริการอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น จัดสถานที่พิเศษสำหรับนักค้นคว้าวิจัยในระดับสูง บริการถ่ายทำสำเนาหนังสือและภาพ บริการเครื่องอ่านเอกสารสำเนา ตามความจำเป็นและระดับความต้องการของผู้ใช้บริการ จัดส่งเอกสารให้แก่ผู้ใช้บริการ ขอใช้ห้องประชุม ห้องสัมมนาเฉพาะกลุ่ม เป็นต้น
(สุนี  เลิศแสวงกิจ  และพิศิษฐ์  กาญจนพิมาย.  ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ.  กรุงเทพฯ : วังอักษร, 2550.)